All-New Ninja 400 เขากลับมาเพื่อทวงบัลลังก์ (Ninja 400 ดีอย่างไร)

      

1

        ตอนนี้รถบิ๊กไบค์ในระดับ Entry Class กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากมายในปัจจุบัน สมมติถ้าหากจะให้ผมเลือกก็คงมีหลายตัวเลือกให้เลือกเป็นเจ้าของ แต่วันนี้ผมจะมาพูดถึงเจ้ารถที่เป็นที่ฮือฮาอย่างมากเมื่อมีการประกาศเปิดตัว All-new ใหม่หมดจดทั้งคัน นั่นก็คือ All-New Ninja 400 & Ninja250 ซึ่งบอกได้เลยว่าเรียกเสียงความฮือฮาเป็นอย่างมากแต่ทว่าวันนี้ผมจะหยิบในส่วนของ Ninja 400 ขึ้นมาพูดเป็นหลัก จากการได้ทดลองใช้งานจริงไม่ว่าจะเป็นการใช้ในเมืองการออกทริปต่างจังหวัดว่ามีความพิเศษและความน่าสนใจอย่างไรสำหรับ Ninja 400 คันนี้หลังจากที่ได้นำเจ้านินจาคันนี้ไปขี่ทดสอบกว่า 870 Km. หรือประมาณ 1 สัปดาห์เต็ม ในบทความนี้เราจะมีพูดถึง Spec Ninja 400

2

กว่าจะมาเป็น Ninja400

        ย้อนกลับไปเมื่อปี 2009 Ninja250R ที่เป็นโฉมแรกที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยก็ได้รับความนิยมระดับหนึ่ง เนื่องจากในขณะนั้นรถในขนาด 250CC. ยังไม่ค่อยมีผู้นำเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทย มีคาวาซากิเป็นบริษัทแรกที่ทำการบุกเบิกรถในระดับ 250 CC. และ Mini-Bike ในช่วงนั้นที่ขายดีเป็นอย่างมาก ต่อมาใน ปี 2013 ได้มีการปรับโฉมหน้าตาแบบ Major Change ครั้งใหญ่ ปรับรูปลักษณ์หน้าตาให้ดูโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น และในขณะนั้นก็มีคู่แข่งจากอีกค่ายที่เข้ามาแย่งพื้นที่ส่วนแบ่งทางการตลาด และต่อมาอีกไม่นานได้มีการ Minor Change อีกหนึ่งครั้งโดยคงรูปลักษณ์หน้าตาเดิม แต่ทว่าได้รับการอัปเกรดเครื่องยนต์เป็น 300CC. ติดตั้ง Slipper Clutch และ เพิ่มระบบ ABS เพื่อเพิ่มความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเข้าไปและต่อมาในปี 2018 นั้นก็ถึงเวลาแล้วที่ Ninja300 จะถึงเวลา Rebornเป็น All-New Ninja สักทีหลังจากที่ถูกคู่แข่งส่งรถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของรถระดับ Entry Class แต่ทว่าคราวนี้ คาวาซากิกลับมาเพื่อจะทวงชื่อเสียงของตนคืนด้วย All-New Ninja 400 โฉมใหม่นี่เอง...

3

Feature เด็ดๆที่น่าสนใจ

        เมื่อพูดถึงตัวรถเองนั้นต้องบอกก่อนเลยว่ามีความเพรียวบางมากกว่าโฉมเก่า Ninja300 ที่ผมเคยได้จับ  ได้ขี่เล่นในระดับหนึ่งเลยทีเดียวเป็นเพราะการเปลี่ยนมาใช้โครงถักทำให้รีดน้ำหนักส่วนเกินลงไปได้ส่วนหนึ่ง การวางจุดศูนย์ถ่วงหรือ CG นั้นค่อนข้างต่ำรวมถึงเบาะนั่งเองก็ค่อนข้างต่ำทำให้สามารถควบคุมรถได้ง่ายกว่าโฉมเก่า ที่มิติรถจะดูกว้างๆอ้วนๆ แต่พอมีการปรับโฉมทำให้รถนั้นมีลักษณะเพรียวบางลงโดยในส่วนของ Cockpit นั้นจะมีลักษณะคล้ายกันกับมุมมองของรุ่นพี่ Ninja650 ไม่ว่าจะเป็นการวาง Layout เรือนไมล์ ไฟบอกเกียร์ ตำแหน่งปลั๊กชาร์จ ส่วนถังน้ำมันนั้นได้มีการปรับลดขนาดให้เล็กลง ซึ่งสามารถทำให้สามารถใช้ขาหนีบ หรือ Grip ถังได้ดีขึ้น กระชับขึ้นกว่าโฉมเก่าพอสมควร ท่านั่งมีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้นเนื่องจากแฮนด์บาร์มีองศาที่บีบเข้ามาหาตัวผู้ขับขี่ทำให้สามารถจัดท่าทางให้หมอบติดถังได้ง่ายขึ้น

Untitled-1-3

ชิลด์หน้าคันนี้เป็น Ninja400 รุ่น SE จะได้ชิลด์ที่สูงกว่ารุ่นปกติซึ่งถ้าหากนั่งโน้มตัวหมอบติดถังไปข้างหน้าจะสามารถตัดลมได้ดีแต่ถ้าหากอยู่ในช่วงขี่แบบ relax นั่งยืดตัวขึ้นมายาวๆลมอาจจะปะทะเข้ามาบริเวณหน้าอกและไหล่รวมถึงอาจจะมีอาการหมวกแกว่งไปมาได้หากขับไวๆ ส่วนของกระจกมองข้างเองนั้นมีก้านที่ค่อนข้างยาวสามารถปรับกระจกให้มองเห็นได้อย่างกว้างขวาง เบาะนั่งสูงจากพื้นเพียง 785 ม.ม. ส่วนตัวผมเองสูง 175 ซ.ม. สามารถยืนได้เต็มสองเท้าเลย ซึ่งผมเชื่อว่าการดีไซน์ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นเพราะต้องการจะออกแบบมาให้เหมาะกับสรีระของผู้ใช้รถชาวเอเชียมากขึ้นนั่นเองครับ และระบบไฟหน้าเองก็เป็นโคมไฟ LED ทั้งสองข้างพร้อมไฟ DRL รวมไปถึงไฟท้ายดีไซน์เดียวกับ ZX10R ที่ดูโฉบเฉี่ยวมากกว่าเดิมเลยทีเดียว

Engine & Performance

        ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนว่าตัวผมเองนั้นหลังจากที่ได้ยินและติดตามข่าวของการพัฒนา All-New Ninja 400 นั้นผมได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าจะเป็นการนำเครื่องยนต์ของ Ninja 400 (JP. Model) มายัดใส่แต่ทว่าไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเลย หากแต่ว่าเป็นการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ทั้งบล็อกทำให้ได้เครื่องยนต์ที่มีอัตราเร่งแรงบิดที่ดีกว่าเดิม ในรอบต้นที่ออกตัวรถจะมีอาการโดดนิดๆเวลาบิดคันเร่ง แต่ถ้าถามว่ากำลังเพิ่มขึ้นมาแบบชัดเจนเลยไหมก็ตอบได้ทันทีว่ามาดีขึ้นกว่าเดิมแต่ไม่ได้ถึงกับมากมายจนหวือหวายังต้องมีการลดเกียร์และรีดรอบช่วยอยู่ในช่วงของการเร่งแซง โดยกำลังของเครื่องบล็อกนี้อยู่ที่ 45 Bhp. @10,000 rpm. ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 25lbs.-ft. ที่ 8,000 rpm. ซึ่งขึ้นไปเทียบเคียงใกล้กับ 500 Series ของค่ายคู่แข่ง และพิเศษกว่านั้นตรงที่เจ้า All-New Ninja 250/400 นั้นได้รับการติดตั้ง Slipper Clutch มาให้ด้วยสำหรับสายแข่งที่เชนจ์เกียร์ลงหนักๆตัวสลิปเปอร์คลัทช์ นี่เองที่จะเข้ามาช่วย4

        ไม่ให้เกิดอาการล้อสับ ส่วนช่วงล่างนั้นก็ได้เพิ่มขนาดแกนโช้คหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 41 mm. จากเดิม 37 mm. และโช้คหลังพร้อมกระเดื่องทดแรง Uni-Trak โดยรวมสามารถตอบสนองต่อการพลิกโค้งได้ดีอาจจะย้วยไปบ้างแต่สามารถปรับระดับได้ รวมถึงยางสำหรับ Ninja 400 นั้นจะได้ขนาดที่ใหญ่กว่า Ninja 250 ผู้น้อง ที่ขนาด ล้อหน้า/หลัง 110/150-17 ส่วน Ninja 250 จะได้ขนาด 110/140-17 โดยยางจะเป็น Dunlop Sportmax โดยรวมเครื่องยนต์และระบบช่วงล่างนั้นถึงเซตมาให้สามารถขี่บนถนนได้อย่างสนุกและพร้อมที่จะลงฝึกหรือขี่เล่นในวันแทร็กเดย์ได้ดีเลยทีเดียว

อัตราการกินน้ำมัน

       สำหรับ Ninja 400 เองนั้นหลายคนอาจจะบอกว่าถังน้ำมันรถเล็กลงขี่แป๊บเดียวก็คงจะหมดแล้ว แต่จากการที่ผมได้ลองขี่ใช้งานจริงๆ ถังขนาด 14 ลิตร นั้นสามารถขี่ได้ถึง 300+ โดยประมาณ และคิดค่า Avg. ออกมาได้ประมาณ 25-28.3 Km./L.

 5

รถคันนี้เหมาะกับใคร?

        สำหรับการใช้งานในเมืองนั้นต้องบอกก่อนเลยว่าเจ้ารถคันนี้มันสามารถตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียวครับเพราะมีความคล่องตัวดีกว่าเดิมพอสมควรเนื่องจากรถมีมิติเล็กและเบาซึ่งสามารถควบคุมรถได้ง่ายสามารถมุดผ่านช่องระหว่างรถได้ง่าย รวมถึงกำลังของเครื่องยนต์เองก็พอมีให้ได้เล่นระดับหนึ่งถ้าหากถามว่าเหมาะกับใครผมแนะนำว่าเหมาะกับมือใหม่ที่สนใจอยากขี่รถมีคลัทช์คันแรก และ คนที่มองหารถที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วสามารถลงสนามได้อย่างสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการเล่นโค้งในสนาม สำหรับสายซ้อนเบาะนั่งทำออกมาแข็งและบางกว่าโฉมเก่าแนะนำให้ทำเบาะใหม่ทั้งคนนั่งและคนซ้อนสำหรับท่านที่ชอบใช้งานออกทริปพร้อมสายซ้อนเพื่อเพิ่มความสบายเวลาเดินทางไกล

Like

1. ท่านั่งสามารถให้ความมั่นใจได้ดีเนื่องจากสามารถหนีบถังได้กระชับกว่าโฉมเก่าและทำให้จัดท่านั่งหมอบหลบกระแสลมได้ดี

2. ความประหยัดน้ำมันที่ทำได้ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับปริมาณความจุน้ำมันที่ลดลงเหลือเพียงแค่ 14 L

3. น้ำหนักก้านคลัทช์ที่เบาทำให้ความเมื่อยล้าของนิ้วน้อยลงได้ดีระดับนึงเมื่อต้องใช้รถบนถนนที่มีการจราจรคับคั่ง

4. มีช่องชาร์จไฟมาให้จากโรงงานแบบรุ่นพี่ Ninja 650ทำให้สะดวกต่อการชาร์จอุปกรณ์ต่างขณะเดิน

5. ความคล่องตัวของรถในการซอกแซกเวลารถติดสามารถทำได้ง่ายเนื่องจากรถมีน้ำหนักเบาและผอมเพรียว

Don’t Like

  1. ไฟหน้า LED นั้นค่อนข้างที่จะฟุ้ง cut-off ไม่ค่อยคมเท่าที่ควรเวลาขี่ตอนฝนตกหรือหมอกลงแสงจะถูกกลืนไปกับถนน

  2. ก้านกระจกที่ค่อนข้างอยู่ห่างมือพอสมควรเมื่อกางออกทำให้ต้องเอื้อมแขนหรือขยับตัวไปข้างหน้าในการปรับ

  3. ถ้าหากชิลด์หน้าสามารถปรับองศาได้แบบ Ninja 650 น่าจะช่วยให้การขี่เดินทางไกลทำได้ดีขึ้นเรื่องการตัดกระแสลม

    *ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ที่เขียนขึ้นมาจากการได้ทดลองขี่และใช้งานจริง ขอบคุณ บริษัท เรียลโมโตสปอร์ต จำกัด ที่มอบโอกาสให้ทดลอง Ninja 400*


เครดิตขักเขียนคุณทอม -1

 

New call-to-action           New call-to-action     New call-to-action